วันพุธที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2556

About Me



       Hello!..My name is Nattakarn  Sukyoy. My friends call me "Ray". I'm twenty-one years old. My student number is 5411114018. I live in Nakhon Si Thammarat, Thailand. Now I'm study at Nakhon si Thammarat Rajabhat University. When I have free time I use internet for watching hair tutorial on youtube. If you want to contact me ... 
you can -------->
@friends on facebook:https://www.facebook.com/nattakarn.sukyoy
My Blog :http://tech-nattakarn.blogspot.com/
My e-mail : Nattakarn_3@hotmail.com




วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2556

Computer Assisted Instruction : CAI

        คอมพิวเตอร์ช่วยสอนคืออะไร
        คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI)
เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้สื่อคอมพิวเตอร์
ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรง และเป็นการเรียน
แบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือสามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้



         องค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
- เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
- ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินคำตอบ
- ให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล หรือ คะแนน
- ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าในลำดับต่อไป


         ประโยชน์ของบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
    1. สามารถตอบสนองการเรียนรู้ส่วนบุคคลได้ ซึ่งผู้เรียนสามารถเรียนรู้ตามระดับ
ความสามารถและอัตราความเร็วตามที่ต้องการ
    2. สามารถสร้างแรงจูงใจในการเรียนโดยการใช้สี เสียงและภาพ รวมทั้งการออกแบบ
โปรแกรมที่น่าสนใจ
    3. สามารถคิดคำนวณได้รวดเร็วและแม่นยำ ช่วยให้ผู้เรียนเรียนวิชาคณิตศาสตร์ได้
อย่างมีประสิทธิภาพ
   4. ช่วยสอนความคิดรวบยอด (Concept) และทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี
   5. สามารถเรียนได้อย่างไม่จำกัดเวลา และทบทวนได้ตามที่ ต้องการ
   6. สามารถจัดแผนการสอนได้ดี ด้วยการที่ผู้สอนสร้างโปรแกรมที่มีขั้นตอนและ
ระบบที่ดี เช่น มีจุดมุ่งหมาย สอนเนื้อหา ทดสอบและให้ผลย้อนกลับ และยังสามารถเก็บ
ข้อมูลผู้เรียน วิเคราะห์และเสนอผลการประเมินได้



     ความสำคัญของ CAI 
     CAI (Computer Assisted Instruction) หรือ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
หมายถึงสื่อการเรียนการสอนทางคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่งที่นิยมบันทึกลงบนแผ่น
CD-ROM ซึ่งสามารถนำเสนอสื่อประสมได้แก่ ข้อความ ภาพนิ่ง กราฟิก
แผนภูมิที่ใกล้เคียงกับการสอนจริงมากที่สุดโดยการนำเสนอเนื้อหาทีละจอภาพ
ซึ่งรูปแบบจะแตกต่างกันขึ้นอยู่กับธรรมชาติ และโครงสร้างของเนื้อหา
โดยมีเป้าหมายสำคัญคือสามารถดึงดูดความสนใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความต้องการ
ที่ จะเรียนรู้ CAIจึงเป็นสื่อการศึกษายุคใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากและยังมีข้อได้เปรียบ
เหนือสื่ออื่นๆด้วยกันหลายประการและสามารถตอบสนองความแตกต่างระหว่างผู้เรียน
ซึ่งผู้เรียนจะมีปฏิสัมพันธ์หรือการตอบโต้ พร้อมทั้งได้รับผลย้อนกลับ (feedback
อย่างต่อเนื่องกับเนื้อหาและกิจกรรมต่างๆจึงง่ายต่อการประเมินและตรวจสอบความเข้าใจ
ของผู้เรียนได้ตลอดเวลาขณะเดียวกันผู้เรียนสามารถนำ CAI ไปใช้เรียนด้วยตนเอง
โดยปราศจากข้อจำกัดด้านเวลา และสถานที่ในการดำเนินการศึกษาค้นคว้า CAI
จึงเป็นสื่อสำคัญที่ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ในลักษณะที่เน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
ได้เป็นอย่างดี



       แนวทางการนำไปใช้
       หลายปีที่ผ่านมา สถาบันการศึกษาต่าง ๆ ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนา ปรับปรุงเพิ่มเติมเทคโนโลยีเพื่อให้สถาบันและบุคลากรของตนเองได้เรียนรู้และก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลงที่ไม่หยุดยั้งของเทคโนโลยีในยุคปัจจุบันด้วยคุณสมบัติเฉพาะที่แตกต่างกันไปของเทคโนโลยีแต่ละชนิดนั้นทำให้สามารถจัดกระบวนการเรียนการสอนกิจกรรมได้หลากหลายรูปแบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
      คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เป็นหนึ่งในสื่อเทคโนโลยีที่ถูกคัดเลือกมาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของการคิดการเรียนรู้ และการค้นคว้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน CAI ได้กลายเป็นสื่อที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสื่อหนึ่ง ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายของวงการศึกษาไทยด้วยคุณสมบัติพิเศษ ของ CAI ที่มีข้อได้เปรียบสื่ออื่น ๆ สามารถแสดงผลได้หลายรูปแบบอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นภาพเคลื่อนไหว เสียงประกอบ และการปฏิสัมพันธ์ (Interactive) บวกกับความสามารถในการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ๆ ทำให้เป็นสื่อที่ตอบสนองการเรียนการสอน ในรูปแบบเน้นนักเรียนเป็นศูนย์กลาง (Child Center) ได้อย่างดียิ่งเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ศึกษาค้นคว้า ด้วยกระบวนการที่สามารถคิดเป็น ทำเป็น และแก้ปัญหาเป็นเพื่อเป้าหมายให้นักเรียนเป็นคนเก่งคนดี และดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข
     ดังนั้น หากนำ CAI ที่ได้รับการคัดเลือกตามคุณสมบัติที่ดีของสื่อนั้น มาประกอบกับการจัดเตรียมห้องเรียนหรือศูนย์ค้นคว้าที่ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่มอยู่ก็สามารถก่อให้เกิดประโยชน์และประสิทธิภาพในอันที่จะพัฒนาตามเป้าหมายที่ได้ตั้งไว้ให้บรรลุได้ในเวลาอันรวดเร็วยิ่งขึ้นไป





วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2556

Conclusion ... โปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยเรียนภาษา CALL (Computer-assisted language learning program)

                 CALL ได้กลายเป็นทางเลือกทางหนึ่งที่ดึงดูดใจในรูปแบบดั้งเดิมของการเสริมหรือการแทนที่ปฏิสัมพันธ์ของครูและนักเรียนโดยตรงได้ เช่น ห้องปฏิบัติการทางภาษาหรือเทปเสียงการศึกษาด้วยตนเอง บทความนี้ส่วนใหญ่เน้นและแสดงให้เห็นถึงบทบาทที่มีศักยภาพของโปรแกรม CALL ที่สามารถเล่นในห้องเรียนภาษา อีกทั้งเป็นตัวช่วยที่มีความสำคัญในการเรียนการสอน หรือเป็นเครื่องมือในการการเรียนการสอน บทความนี้กล่าวถึง CALL ว่าทำไมถึงเป็นสิ่งที่สำคัญในพื้นที่ของการเรียนการสอนภาษาและการเรียนรู้สถานการณ์ รวมถึงการพัฒนาของโปรแกรมช่วยเรียนภาษาโดยเฉพาะ ในการสอนภาษาครูและผู้เรียนมีความคาดหวังในการการออกแบบโปรแกรมและประยุกต์วิธีการใช้ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและภัยคุกคาม ของการทำงานทั้งสองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของไทย
                   (Kanoksilapatham, 2009) กล่าวว่า แม้ว่าการใช้ประโยชน์จาก CALL ในการสอนภาษาจะเป็นผลดีต่อแต่ถ้าหากมีการใช้มากจนเกินไปก็จะไม่ดีต่อสุขภาพสุขภาพ อันที่จริงแล้วไม่ควรใช้สื่อนี้มาแทนที่หรือเปลี่ยนการสอนในห้องเรียนของครู Kanoksilapatham ยังให้คำแนะนำต่ออีกว่า CALL ควรจะนำมาใช้เป็นการเฉพาะกิจ หรือแค่นำมาเสริมการเรียนการสอนในห้องเรียน บทความนี้ยังมีความพยายามที่จะเปลี่ยนครูไทยที่สอนภาษาอังกฤษเพื่อพยายามที่จะเพิ่มโอกาสให้เสนอความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ถ้าหากจะใช้ก็ต้องกำหนดกิจกรรมและเพิ่มการฝึกภาษาให้แก่ผู้เรียนควรจะตรวจสอบได้อย่างเหมาะสมและฝึกทักษะภาษาของพวกเขาที่จะคาดหวัง สำหรับผู้เรียนภาษาไทยที่พวกเขาต้องการเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่องการทดลองและประเมินผลกิจกรรม CALL ที่เหมาะสมและมีความหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ภาษาอังกฤษและปริญญาโททักษะการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเป้าหมายของการเรียนรู้ภาษา ถ้าหากจะใช้ก็ต้องกำหนดกิจกรรมและเพิ่มการฝึกภาษาให้แก่ผู้เรียนควรจะตรวจสอบได้อย่างเหมาะสมและฝึกทักษะภาษาของพวกเขาที่จะคาดหวัง สำหรับผู้เรียนภาษาไทยที่พวกเขาต้องการเพื่อให้สามารถใช้งานต่อเนื่องการทดลองและประเมินผลกิจกรรม CALL ที่เหมาะสมและมีความหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ภาษาอังกฤษและปริญญาโททักษะการใช้ภาษาอังกฤษซึ่งเป็นเป้าหมายของการเรียนรู้ภาษา


วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Project Base Learning

--> แนวการจัดการศึกษา
      มาตราที่ 22 การจัดการศึกษา ต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ ผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพ

--> Learning by doing
      หากต้องการเรียนรู้สิ่งไหนก็ต้องทำมันด้วยตนเอง ในยุคศตวรรษที่ 21 คิดวิเคราะห์ ทำงานเป็นกลุ่ม และในที่สุดชิ้นงานก็จะออกมาดี และมีคุณภาพสูง


--> ประเภทโครงงานภาษาอังกฤษ

 1. โครงการค้นคว้าข้อมูล

 2. โครงการสำรวจ

 3. โครงการทดลอง (บูรณาการ)

 4. โครงการแสดง

 5. โครงการสิ่งประดิษฐ์/ผลผลิต


--> ข้อดีของโครงงานภาษาอังกฤษ

 1. นักเรียนสามารถเลือกเรียนสิ่งที่เขาต้องการเรียน

 2. นักเรียนได้ฝึกการทำงานเป็นกลุ่ม

 3. นักเรียนได้ค้นคว้าสิ่งที่สนใจ ด้วยตนเอง

 4. นักเรียนได้พัฒนาความรู้


--> เค้าโครงงานภาษาอังกฤษ

 1. หัวข้อโครงงาน (Title)

 2. ชื่อผู้ทำโครงงาน (Author)

 3. ชื่อที่ปรึกษาโครงการ (Advisor) 

 4. ที่มาของปัญหา (Statement of the Problem)

 5. วัตถุประสงค์ของโครงงาน (Objective) 

 6. วิธีดำเนินการ (Process)

 7. ผลที่คาดว่าจะได้รับ (Expected Result)

 8. เอกสารอ้างอิง (Reference)


--> การประเมินโครงงานภาษาอังกฤษ

 1. ชิ้นงาน

 2. รายงาน

 3. รายงานหน้าชั้น

 4. การจัดนิทรรศการ

 5. การนำเสนอ

 6. แบบบันทึก


วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

FORUM : A Story-Based Framework for a Primary School Classroom



The framework of two story-based lessons provided extra language practice by supplementing course material and engaging students in a variety of activities that involvedconsolidating vocabulary and structures and also practicing microskills. The lessons seemedto be motivating and interesting and exercised both the students’ imagination and their languageskills. The stories (a) aroused students’curiosity and made them want to find outmore about the text, and (b) provided a starting point for related language activities todevelop both receptive and productive skills. The lessons also promoted vocabulary recycling, as they allowed the teacher to introduce and revise vocabulary.

FORUM : Speaking and Listening Online


  • Computer Assisted Language Learning and the Internet

The use of computer technology in the classroom is referred to as Computer Aided
Instruction (CAI).

  • Receptive communication on the Web

Communication activities on the Internet can be categorized as receptive or interactive
(Opp-Beckman 1999).

Alexander and Tate (1996) classify
websites into five types: 
(1) advocacy/opinionwebsites, such as http://www.tolerance. org/;
(2) business/marketing websites, such as http://www.south-beach-diet.biz/; 
(3) news websites,such as http://news.bbc.co.uk/;
(4) informational websites, such as http://dictionary.reference.com/; 
and (5) personal websites

  • Activities
For receptive communication activities, teachers can either create their own activities
or have students access websites that include prepared exercises.




  • Benefits and limitations
There are several benefits to using receptive communications on the Internet with language learners.


  • Interactive communications on the Web

Interactive communication activities on the Internet can be synchronous or asynchronous
(Lafford and Lafford 1997). Asynchronous activities involve two or more individuals, do not occur in real-time, and include composing and answering messages on email and discussion boards.

  • Synchronous, Computer-Mediated

Communication programs As a result of the increasing use of interactive multimedia and Internet technologies
for language learning, the term Computer-Mediated Communication (CMC) was coined to describe the interactive use of computer and Internet technologies to communicate, and to differentiate natural language
discourse analysis from computerized interactions (Paramskas 1999).

  • Activities

Live chat offers users the possibility to chat in real-time with other users from around the
world.

  • Benefits and limitations
Research into CMC has indicated several possible benefits of using electronic communications with ESL/EFL learners.


--->>The use of computers in the foreign language
classroom has greatly influenced how
teachers teach and students learn, and continuing
advances in Internet technology will
most likely continue to affect the profession.
However, as with many teaching methods,
certain principles must be followed to make
them successful. Egbert, Chao, and Hanson-
Smith (1999, 4) identify the following eight
conditions for optimal language learning
environments:
1. Learners have opportunities to interact
and negotiate meaning.
2. Learners interact in the target language
with an authentic audience.
3. Learners are involved in authentic tasks.
4. Learners are exposed to and encouraged
to produce varied and creative language.
5. Learners have enough time and feedback.
6. Learners are guided to attend mindfully
to the learning process.
7. Learners work in an atmosphere with an
ideal stress/anxiety level.
8. Learner autonomy is supported.

Volume 43  N umber 3  2 0 0 5



FORUM : Finding New Messages In Television Commercials

----หาข้อความใหม่ในโฆษณาโทรทัศน์--

  • ดูรายการกิจกรรม
  ใช้วิดีโอได้อย่างมีประสิทธิภาพในห้องเรียน ต้องมีโครงสร้างบทเรียน รวมทั้งการแสดงตัวอย่างและชมกิจกรรมที่โพสต์

1. การแสดงตัวอย่างการอภิปราย
บทเรียนเริ่มต้นด้วยการสนทนาสั้น ๆเกี่ยวกับโฆษณาทางโทรทัศน์
จากสามมุมมองที่แตกต่างกัน : เศรษฐศาสตร์ ศิลปะและความหมาย


2. ชมครั้งแรก
เทปแปดนาทีจาก 12 โฆษณา ก็แสดงให้เห็นในสิ่งทั้งปวงโดยไม่หยุดชะงัก

แล้วถามคำถามสำหรับปฏิกิริยาแรกของพวกเขา:
คุณเข้าใจทุกอย่างใช่ไหม? คุณเข้าใจเพียงเล็กน้อยใช่ไหม? คุณคาดการณ์ถูกหรือเปล่า?

3. ชมครั้งที่สอง
ในระหว่างขั้นตอนของบทเรียนโฆษณานี้กำลังศึกษาในเชิงลึก
โดยใช้ห้าขั้นตอนการวิเคราะห์ ในการทำงานในกลุ่มขนาดเล็ก นักเรียนให้ข้อมูลที่จำเป็นในแต่ละขั้นตอน
       ตัวอย่างที่ 1 โฆษณา สำหรับโทรศัพท์มือถือ

                          -ขั้นตอนที่ 1: สร้างเรื่องราวในไม่กี่ประโยค
                          -ขั้นตอนที่ 2: ระบุรายละเอียด

                          -ขั้นตอนที่ 3: ชี้แจงข้อความด้านหน้า
                          -ขั้นตอนที่ 4: อธิบายพื้นฐานข้อความ
                          -ขั้นตอนที่ 5: เพิ่มเติมเนื้อหาเฉพาะ
4.  กิจกรรมหลังดู


5.  กิจกรรมการติดตามอื่น ๆ
นักเรียนทุกคนในหลักสูตรภาคฤดูร้อน จำเป็นในการสร้างผลงานของแต่ละบุคคล
ในการทำงาน



English Teaching Forum 2005, Volume 43, Number 3

FORUM : Ten Characteristics of a Good Teacher

10 ลักษณะของครูที่ดี -----


1.  ครูที่มีความกระตือรือร้นของเขาสำหรับติดต่อสอน

2.  ครูที่มีความคิดสร้างสรรค์

3.  ครูที่สามารถเพิ่มความเร็วและอารมณ์ขันในชั้นเรียน

4.  ครูที่ท้าทายนักเรียน

5.  ครูที่จะส่งเสริมให้และมีความอดทนและผู้ที่จะไม่ให้ขึ้นอยู่กับฉัน

6.  ครูที่จะให้ความสนใจในตัวนักเรียนเหมือนกัน

7.  ครูที่รู้ไวยากรณ์ที่ดีและที่สามารถอธิบายสิ่งที่จำได้ ถ้าจำเป็น

8.  ครูที่จะใช้เวลาหนึ่งหรือสองนาทีที่จะตอบคำถามหลังเลิกเรียน

9.  ครูที่จะปฏิบัติต่อนักเรียนเหมือนกันทุกคนบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกับสมาชิกทุกคนในชั้นเรียน

10.  ครูที่จะแยกอารมณ์ออกในและนอกห้องเรียน

สรุป....>>>>

คุณภาพที่ได้กล่าวสามารถแยกออกจากกัน
เป็นสี่ส่วน
(1) ลักษณะอารมณ์
(2) ทักษะ
(3) เทคนิคการจัดการห้องเรียนและ
(4) ความรู้ทางวิชาการ



This article was first published in Volume 25, No. 1 (1987).

Multiple Intelligences

คิดค้นโดย Howard Gardner 
โดยเชื่อว่าผู้เรียนมีจุดแกร่งในการเรียนรู้ที่ต่างกัน 
และถ้าผู้เรียนรู้จุดแกร่งของตนเองแล้วจะทำให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น


-ความสามารถในการสื่่อสารภาษา: เสียง, ความหมายและจังหวะของคำ

-ความสามารถทางด้านตรรกะศาสตร์ : มีความสามารถในหารคิดโดยมีหลักการ

-ความสามารถทางดนตรี: ความสามารถในการออกเสียง จังหวะที่เหมาะสม

-ความสามารถในการจินตนาการ: ความสามารถในการคิดในการจินตนาการและจดจำเป็นรูปภาพ

-ความสามารถในการมีมนุษยสัมพันธ์: ความสามารถในการโต้ตอบกับอารมณ์ที่เหมาะสม

-ความสามารถในความเข้าใจตนเอง: ความสามารถในการเข้าใจความรู้สึก คุณค่า  ความเชื่่อและ กระบวนการคิดในตนเอง

-ความสามาถในความเข้าใจธรรมชาติ: พืช สัตว์ และสิ่งอื่นทางธรรมชาติ

-ความสามารถในความเข้าใจการมีชีวิต: สามารถตอบคำถามที่ลึกซึ้งของการมีชีวิตอยุ่ของมนุษย์ได้

Whole Language Approach

*** เป็นการเรียนภาษาที่เรียนแบบทั้งหมดหรือเป็นภาพรวม

*** เด็กต้องเข้าใจภาพรวมของเนื้อเรื่องก่อนแล้วค่อยดูคำศัพท์หรือไวยากรณ์ Top-Down

*** ความผิดพลาดที่ผู้เรียนเป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้  ครูอาจจะทดสอบโดยการเขียน
      process writing <<--&-- >>journal keeping


Cooperative Learning

การเรียนแบบร่วมมือ เน้นทักษะทางสังคม


เป้าหมายหลัก


1.กระตุ้นให้ผู้เรียนคิดเป็นกลุ่ม
2.ผู้เรียนต้องอยู่ด้วยกันสักระยะ  เพื่อที่จะเรียนรู้ในการทำงานร่วมกัน
3.ความพยายามที่ได้ทำ  ต้องได้รางวัลทั้งกลุ่ม  ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง
4.สอนทักษะทางสังคม  เพื่อให้บทสนทนาราบรื่นและลึกซึ้ง
5.การเรียนรู้ภาษาจะเกิดขึ้นเมื่อใช้ภาษาเป้าหมายในการเรียนและทำงาน
6.ถึงแม้ว่านักเรียนทำงานเป็นกลุ่ม  ก็ต้องรับผิดชอบงานของตัวเองด้วย
7.ความรับผิดชอบจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน
8.สมาชิกทุกคนถูกกระตุ้นให้มีความรู้สึกว่าตัวเองต้องรับผิดชอบและมีส่วนร่วม
9.ครูสอนการทำงานร่วมกัน

Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques  and  Principles  in  Language  Teaching.  Hong  Kong :  Oxford  University  Press.p.164-169.


Task - Base Instruction TBI

จะเน้นตัวงานที่เสร็จมากกว่าการใช้ภาษาที่ถูกต้อง เน้นให้นักเรียนใช้ภาษาได้อย่างคล่องแคล่วเพื่อ
ให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่น

เป้าหมายหลัก


1.งานที่ให้ทำต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน
2.ก่อนที่ให้ทำงานเดี่ยวจะต้องซ้อมกันทั้งหมดก่อน  เพื่อให้เห็นขั้นตอนจริง
3.ครูควรแยกขั้นตอนการทำงานให้เห็นชัดเจน
4.หาวิธีให้นักเรียนมีส่วนร่วม
5.ครูใช้ภาษาอะไรก็ได้ที่จะทำให้นักเรียนสามารถเข้าใจในตัวงาน
6.ครูต้องช่วยแก้ไขเมื่อนักเรียนพูดผิด
7.การเติมเต็ม  ควรให้ทำงานjig  saw  เพื่อให้ผู้เรียนพัฒนาความเข้าใจและทักษะการพูดด้วย
8.นักเรียนควรได้รับfeedbackถึงความสำเร็จการทำงานของเขา
9.นักเรียนสามารถออกแบบงานได้ด้วยตนเอง



ประเภทของภาระงาน


--Information gap  (แลกเปลี่ยนข้อมูล)
--Opinion gap  (แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทัศนะคติ)
--Reasoning gap  (นำเสนอข้อมูลใหม่ ในรูปแบบของตนเอง)


Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques  and  Principles  in  Language  Teaching.  Hong  Kong :  Oxford  University  Press.p. 149-149.

Content-Base Instruction

เป็นวิธีการที่ครูจะสอนในแต่ละเนื้อหา โดยใช้ภาษาอังกฤษในการสอน  ผู้เรียนจะต้องใช้ภาษาเป้าหมายในการที่จะทำชิ้นงานให้สำเร็จ


เป้าหมายหลัก


1.เนื้อหาวิชาอื่นจะถูกใช้เพื่อใช้ในการเรียนรู้ภาษาด้วย
2.เน้นการใช้ประสบการณ์เดิมของผู้เรียน
3.เมื่อผู้เรียนได้เรียนเนื้อหาที่สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมก็จะเป็นตัวกระตุ้นได้
4.ครูสอนแบบscaffold(จากง่ายไปยาก)  โดยให้นักเรียนสร้างประโยคแล้วครูจึง่วยเติมเต็ม
5.ภาษาจะรียนได้ดีก็ต่อเมื่อใช้เป็นสื่อในการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างนักเรียน
6.คำศัพท์จะง่ายขึ้นเพราะมีการใช้ในบทความ
7.ถ้าผู้เรียนได้เรียนรู้เรื่องจริง  เขาต้องมีการช่วยเหลือของตัวภาษา
8.ผู้เรียนเรียนรู้ภาษาและเนื้อหาโดยใช้สื่อของจริง
9.ความสามารถในการอ่าน  อภิปราย  และเขียน

Lersen-Freeman, D. (2000). Techniques  and  Principles  in  Language  Teaching.  Hong  Kong :  Oxford  University  Press.p. 137-141.


Communicative Language Teaching

เป็นหัวใจสำคัญในการสอนปัจจุบัน
 กระตุ้นให้ผู้เรียนได้ใช้ภาษาในการสื่อสาร  จะเน้นโครงสร้างไวยากรณ์และคำศัพท์

Communicative  competence


1.มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างประโยค
2.มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ภาษาทางสังคม
3.มีความรู้ความเข้าใจในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของประโยคต่างๆ
4.มีความรู้ความเข้าใจในการใช้กลยุทธ์ในการสื่อสาร


ต้องมีลักษณะดังนี้


1.รู้ว่าจะต้องใช้ภาษาในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน
2.รู้ว่าจะต้องใช้ในสถาการณ์แบบใด
3.เข้าใจเรื่องของบทความที่แตกต่างกันออกไป
4.เข้าใจเรื่องที่จะสื่อสารในขณะที่เรารู้อย่างจำกัด  โดยใช้กลยุทธ์ที่แตกต่างกันออกไป


ลักษณะพิเศษของCLT


1.ให้บรรลุเป้าหมายของหัวใจสำคัญทั้งสี่อย่าง
2.ความสัมพันธ์ของ form กับ function
3.เน้นการใช้ภาษาได้อย่าถูกต้องและคล่องแคล่ว
4.นึกถึงบริบทถึงสถานการณ์จริงของผู้เรียน : สื่อของจริง
5.ผู้เรียนรับผิดชอบงานต่างๆด้วยตัวเอง  ต้องเข้าใจและพัฒนากลยุทธ์ต่างๆ
6.ครูเป็นแค่ผู้ให้ความสะดวกและให้คำแนะนำ
7.บทบาทนักเรียนเป็นผู้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนอย่างกระตือรือร้น



เป้าหมายหลัก


1.ให้เกิดการสื่อสารจริงๆให้ได้
2.เปิดโอกาสให้ผู้เรียนทดสอบ  ทดลองสิ่งที่ผู้เรียนรู้
3.ต้องอดทนกับความผิดพลาดของผู้เรียน  เพราะว่าการที่ผู้เรียนผิดพลาด  แสดงว่าเขากำลังสร้างcommunicative  competence
4.ใช้ภาษาได้อย่างถูกต้องและคล่องแคล่ว
5.เชื่อมโยงทักษาการพูด  อ่าน  ฟัง ให้สัมพันธ์กัน
6.ให้ผู้เรียนสรุปกฏเกณฑ์เอง  เรียนแบบอุปนัย


เทคนิคการสอน

1.  ใช้สื่ิอของจริง
2.  การเรียงลำดับประโยค
3.  เกมส์ภาษา Information Gap
4.  การเรียงเรื่องราว ให้ภาพมาแล้วให้ผู้เรียนเรียงลำดับก่อนหลังในปนะโยค
5.  การแสดงบทบาทสมมติ แบบมีบทจากครู และ แบบนักเรียนคิดเอง

Communicative Language Learning


ครูต้องมองผู้เรียนทั้งหมด  คำนึงทั้งความรู้สึก  สติปัญญา  เข้าใจปฏิกิริยาภานอกที่อยู่ข้างใน  ซึ่งครูจะต้องเข้าใจในการเผชิญหน้ากับอุปสรรคต่างในการเรียนการสอนได้
---ครู  เป็นที่ปรึกษา            
---นักเรียน  เป็นผู้รับคำปรึกษา


    เป้าหมายหลัก
1.ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้เข้ารับบริการ  ครูเป็นผู้ให้คำปรึกษา
2.ครูและผู้เรียนต้องมีความเข้าใจกัน
3.ผู้เรียนอนุญาตให้ใช้ภาษาแม่ได้  ครูทำหน้าที่เป็นผู้แปล
4.ให้ดูตัวอย่างก่อน  สอนแบบ inductive(ตัวอย่าง-โครงสร้าง)
5.คำพูดของผู้เรียนจะถูกบันทึกเอาไว้  ซึ่งคำพูดที่บันทึกเอาไว้จะต้องถอดเป็นภาษาแม่
6.นักเรยนพร้อมที่จะพูดภาษาเป้าหมายเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น
7.ในท้ายของการเรียน  จะคุยกันเกี่ยวกับเนื้อหา  กระบวนการเรียน  ซึ่งครูจะต้องแสดงความเห็นอกเห็นใจ
8.มีกิจกรรมหลากหลาย  เช่น  ไวยากรณ์เน้นการออกเสียง  การสร้างประโยคใหม่  หรือถอดบทสนนา


    ขั้นตอนการสอน
1.ผู้เรียนนั่งเป็นวงกลม  มีไมโครโฟน  และตัวอัดเสียง
2.ฟังเสียงที่ได้อัดและถอดเทปออกมา
3.ฝึกบทสนทนาดังกล่าว  ผู้เรียนคิดประโยคใหม่
4.คุยแสดงความคิดเห็นกัน


    เทคนิคการสอน
1.บันทึกบทสนทนาของผู้เรียน
2.ถอดเทปออกมา
3.สะท้อนผลการเรียนรู้
4.ให้ผู้เรียนฟังบทสนทนาของตัวเง
5.ครูช่วยผู้เรียนในการออกเสียง  และย้ำจนผู้เรียนเข้าใจ
6.ให้นักเรียนทำงานกลุ่มเล็กๆ

สุมิตรา  อังวัฒนกุล , 2539

Suggestopedia


          เป็นการเรียนรู้ภาษาที่เกิดอัตราการเรียนรู้ได้เร็วกว่าการเรียนอื่นๆ  โดยธรรมชาติแล้วผู้เรียนมีอุปสรรคทางจิตวิทยา  เพื่อขัดขวางการเรียนรู้ของตนเอง  ซึ่งการที่เราจะช่วยให้ผู้เรียนให้เรียนได้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์  คือ  ครูผู้สอนต้องมี suggestopedia  คือต้องทำลายอุปสรรคของผู้เรียน  โดยการก้าวข้ามอุปสรรค

เป้าหมายหลัก
1.บรรยากาศห้องเรียนสะดวกสบาย  มีความผ่อนคลาย
2.ผู้เรียนสามารถเรียนรู้โดยไม่รู้ตัวจากสิ่งต่างๆที่อยู่รอบๆ
3.ถ้านักเรียนเชื่อใจและเคารพในบทบาทของครู  ก็จะสามารถรับข้อมูลได้ดีขึ้น
4.ครูต้องพยายามกำจัดสิ่งที่ผู้เรียนสร้างขึ้นมา
5.ทำอย่างไรก็ได้ให้นักเรียนเกิดความมั่นใจ  เพราะยิ่งมั่นใจมากเท่าไหร่  ก็จะเรียนรูได้ดีมากเท่านั้น
6.ใช้ภาษาแม่ในการอธิบายให้เข้าใจ
7.ใช้ศิลปะต่างๆนำมาบูรณาการ
8.ต้องรับข้อผิดพลาาดต่างๆที่ผู้เรียนสร้างขึ้นได้

ขั้นตอนการสอน
1.นักเรียนสมมุติตัวเองเป็นคนใหม่  ชื่อใหม่  อาชีพใหม่
2.ครูสอนบทสนทนา  คำศัพท์  ไวยกรณ์
3.ครูอ่านบทสนทนาให้ฟังสองรอบ
   -  ทำเสียงให้สอดคล้องกับเสียงดนตรี
   -  อ่านเร็วกว่าปกติ  มีดนตรีประกอบแบบสบายๆ
4.ให้ผู้เรียนได้รับโอกาสในการทำกิจกรรมที่หลากหลาย  เช่น  ละคร  เกม

เทคนิคการสอน
1.ครูจัดบรรยากาศห้องเรียนให้มีความผ่อนคลาย
2.ผู้เรียนเรียนรู้สิ่งต่างๆที่เห็นในห้องเรียนโดยไม่ตั้งใจ
3.ผู้เรียนได้รับการแนะนำ
4.ผู้เรียนได้เห็นภาพ  ครูอาจจะวาดให้ดู
5.ผู้เรียนเลือกตัวตนใหม่
6.ใช้บทบาทสมมุติ
7.อ่านตามทำนองเพลง
8.ใช้กิจกรรมที่หลากหลาย

Larson-Freeman, D., 2000

วันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556

Total Physical Response (TPR)

ผู้เรียนจะต้องเรียนภาษาในบริบทที่มีความสนุกสนาน และมีเครียดน้อยที่สุด
ซึ่งจะใช้สมองซีกขวามากกว่าซีกซ้าย

ลักษณะพิเศษ...
1.  ครูทำหน้าที่กำกับ นักเรียนเป็นนักแสดง โดยใช้ท่าทางประกอบภาษานั้นๆ
2.  ฟังและตอบสนองภาษาด้วยท่าทางร่างกาย
3.  ภาษาคำสั่ง มีลักษณะขึ้นต้นด้วยคำกริยา
4.  ถ้ามีโอกาส ครูจะต้องใส่มุขขำๆลงไปเวลาสั่ง
5.  นักเรียนจะไม่พูดจนกว่าจะพร้อมแสดงออกมา
6.  เน้นไวยกรณ์ คำศัพท์ เน้นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียน


ขั้นตอนการสอน
1.  ครูออกคำสั่งเป็นภาษาเป็นภาษาเป้าหมาย และทำท่าทางพร้อมนักเรียน
2.  นักเรียนอาสา
3.  เมื่อเด็กเข้าใจแล้ว ก็เพิ่มคำสั่งใหม่
4.  สั่งคำสั่งที่เด็กไม่เคยได้ยินมาก่อน
5.  เขียนคำสั่งบนกระดาน


เทคนิคการสอน
1.  ใช้คำสั่ง
2.  สลับบทบาท
3.  ใช้คำสั่งที่มีเป็นลำดับขั้นตอน


The Silent Way

เป็นวิธีการสอนแบบเงียบๆ
เป็นการเรียนรู้ที่ผู้เรียนเรียนรู้และสร้างสรรค์ด้วยตนเอง ซึ่งการเงียบ
 แสดงว่าผ้เรียนกำลังมีกระบวนการคิดอยู่


ขั้นตอนการสอน
1.  สอนการออกเสียง โดยใช้ Sound-Color-Chart
2.  สอนการสร้างคำ โดนใช้ Rods (แท่งไม้สี่เหลี่ยม)
3.  อ่านและเขียนประโยค


เทคนิคการสอน
1.  Sound-Color-Chart
2.  ครูเงียบ
3.  ให้เพื่อนแก้ไขให้
4.  Rods (แท่งไม้สี่เหลี่ยม)
5.  ใช้ท่าทางในการบอกใบ้
6.  Word Chart คำที่มีสีแตกต่างกัน ใช้สีแทนเสียงต่างๆ
7.  ให้ข้อมูลย้อนกลับ


Audiolingual Method (ALM)

ลักษณะพิเศษ...
1.  สื่อบทเรียนเป็นแบบสนทนา
2.  เรียนแบบเข้มข้น เน้นท่องจำ
3.  โครงสร้างถูกจัดเรียงแบบง่ายๆ เรื่องไหนที่เกี่ยวข้องจะสอนทีเดียวเลย
4.  โครงสร้างไวยกรณ์ สอนโดยการฝึกแบบซ้ำๆ
5.  ดูตัวอย่างประโยค แล้วค่อยอธิบาย
6.  รู้คำศัพท์แบบจำกัด ขึ้นอยู่กับบริบทต่างๆ
7.  ใช้เครื่องมือเกี่ยวกับการฟัง ในการเรียนรู้
8.  การออกเสียงสำคัญอย่างยิ่ง
9.  ใช้ภาษาแม่ แต่น้อยมาก
10. ครูจะพูดเสริมแรง
11.  ต้องให้เด็กพูดไม่ผิดไวยกรณ์
12. ใช้ภาษาสอดคล้องกับเนื้อหา


ขั้นตอนการสอน
1.  ให้นักเรียนฟังบทสนทนา
2.  ให้เด็กว่าตามหลายๆครั้ง
3.  ฝึกพูดประโยค
4.  ฝึกบทสนทนาพร้อมกันทั้งห้อง, เป็นกลุ่ม, เป็นคู่, เป็นรายบุคล
5.  นำบทสนทนามาใส่ข้อมูลของตัวเราเอง


เทคนิคการสอน
1.  จดจำบทสนทนา
2.  ฝกจาหลัง มาหน้า
3.  ฝึกแบบซ้ำๆ
4.  สอนแบบลูกโซ่ คือถามต่อไปเรื่อยๆ
5.  เปลี่ยนคำศัพท์เป็นคำอื่นบ้าง
6.  เปลี่ยนประโยค เป็นประโยคบอกเล่า ประโยคปฏิเสธ และประโยคคำถาม
7.   ฝึกการถาม-ตอบ
8.  ฝึกออกเสียงคำที่ใกล้เคียง
9.  เติมคำในบทสนทนาให้สมบูรณ์

The Direct Method (natural method)

นักปฏิรูปเชื่อว่า....
1.  ภาษาพูดต้องมาก่อน
2.  เชื่อในการสอนออกเสียง
3.  ผู้ฟังจะต้องฟังตัวภาษาก่อนที่จะเห็นตัวภาษา
4.  คำที่สอนต้องอยู่ในรูปประโยค
5.  ฝึกบริบทที่มีความหมาย
6.  สอนแบบอุปมัย ไม่แปลให้ และให้เด็กอธิบาย


เป้าหมายหลัก
1.  การเรียนการสอนใช้ภาษาเป้าหมายล้วนๆ
2.  เน้นคำศัพท์/ประโยคที่ใช้ในชีวิตประจำวัน
3.  ฝึกการพูดโดยการถาม-ตอบ
4.  สอนแบบอุปมัย
5.  เมื่อเริ่มสอนประเด็นใหม่ ต้องนำเสนอด้วยวาจา
6.  คำศัพท์ที่เป็นรูปธรรมต้องใช้สาธิต
7.  สอนเรื่องการฟัง พูด
8.  เน้นการออกเสียงไวยกรณ์ให้ถูกต้อง และแม่นยำ


ขั้นตอนการสอน
1.  ฟังและอ่าน : บทสนทนา
2.  สอนคำศัพท์โดยการใช้ภาษาเป้าหมาย
3.  ฝึกการอออกเสียง
4.  ตรวจสอบความเข้าใจโดยการใช้คำถาม
5.  สอนหลักไวยกรณ์แบบอุปมัย
6.  ทำแบบฝึกหัด, เติมคำ, เขียนตามคำบอก


เทคนิคการสอน
1.  อ่านออกเสียง
2.  ถาม-ตอบคำถาม
3.  แก้ไขข้อผิดพลาดด้วยตัวเอง
4.  ฝึกบทสนทนา
5.  ทำแบบฝึกหัดโดยการเติมคำในช่องว่าง
6.  เขียนตามคำบอก
7.  วาดแผนที่
8.  เขียนย่อหน้า





Richards, J.C. & Rogers, T.S., 1989
สุมิตรา  อังวัฒนกุล , 2539

Gramma Translate Method

เป้าหมายหลัก

1.  มีเป้าหมายในการเรียนรู้ภาษาจากการอ่านสื่อสิ่งพิมพ์
2.  อ่านและเขียนได้ (ไม่เน้นการฟัง พูด)
3.  สามารถเขียนคำศัพท์จากบทความที่อ่านได้
4.  สามารถเขียนเป็นประโยคพื้นฐานได้
5.  มีความถูกต้องแม่นยำ
6.  มีการสอนแบบนิรนัย คือให้โครงสร้างก่อน แล้วจึงให้ดูตัวอย่าง
7.  สามารถใช้ภาษาแม่ในการสอนได้


ขั้นตอนการสอน
1.  สอนคำศัพท์
2.  เรียนโครงสร้างไวยกรณ์ จากการทำแบบฝึกหัด
3.  อ่านแล้วตอบคำถามเพื่อความเข้าใจ
4.  การประเมินจาก การบ้าน ท่องจำ เขียน และแปล


เทคนิคการสอน
1.  การแปลบทอ่าน
2.  อ่านแล้วตอบคำถามเพื่อความเข้าใจ
3.  คำศัพท์ที่มีความหมายเหมือน/ต่าง
4.  บอกโครงสร้างหลักต่างๆ
5.  เติมคำในช่องว่าง
6.  ท่องจำคำศัพท์
7.  ใช้คำแต่งประโยค
8.  ความเรียง/เรียงความ



สุมิตรา  อังวัฒนกุล , 2539

ประวัติโดยย่อของการสอนภาษา

ประวัติ


---เริ่มต้นจากภาษาลาตินเมื่อ 500 ปีที่แล้ว  และในศตวรรณที่16  ก็เริ่มมีภาษาต่างๆเข้ามา  ได้แก่ ภาษาอังกฤษ  ภาษาฝรั่งเศส  และภาษาอิตาลี  ซึ่งในศตวรรษที่16  ถึง  ศตวรรษที่19  เน้นการสอนไวยากรณ์ การแปล  การฝึกเขียนประโยค  เรียกการสอนแบบนี้ว่า "grammar  schools"
---ในศตวรรษที่ 18  เริ่มที่จะเปลี่ยนแนวการสอนแบบทันสมัยขึ้น  ซึ่งจะเน้นการอ่านและการเขียนมากขึ้น


เป้าหมายหลัก

1. พัฒนาสติปัญญา โดยเน้นการอ่าน และการเขียน
2. เน้นการอ่านและการเขียน (ฟัง พูดไม่สำคัญ)

3. เน้นศัพท์
4. เน้นแปลประโยคให้ถูกต้อง
5. เน้นความถูกต้อง ไม่เน้นความคล่อง
6. สอนไวยกรณ์แบบบอกโครงสร้างก่อน แล้วตามด้วยประโยคตัวอย่าง
7. มีวิธีการสอนโดยการใช้ภาษาแม่



Richard, Jack  C.& Rogers, Theodore  S.  1989.  Approaches  and  Methods  in  Langage     Teaching. Cambridge: Cambridge  University  Press.